เรซูเม่ (resume) คือเอกสารสรุปเกี่ยวกับประวัติการทำงานส่วนบุคคล เพื่อใช้ส่งสมัครงาน เรซูเม่ถือว่าเป็นเอกสารสำคัญที่สามารถบ่งบอกได้อย่างมีนัยะสำคัญเลยว่าคุณจะมีโอกาสได้งานมากหรือน้อยขนาดไหน ดังนั้นคุณจะได้เปรียบมากหากคุณรู้หลัก การเขียนเรซูเม่ที่ดี แบบมืออาชีพ
วันนี้ทีมงานเว็บเรซูเม่อินไทย จะมาเจาะลึกแบบหมดเปลือกถึงหลักการเขียนเรซูเม่ ที่มืออาชีพเขาใช้กัน อย่ารอช้า เตรียมไปดูข้อมูลได้เลย
หลักการเขียนเรซูเม่ที่ดี
ให้ใช้หลักการต่อไปนี้เพื่อเขียนเรซูเม่ที่ดีของตัวเอง
1. เริ่มต้นจากการเลือกใช้รูปแบบของเรซูเม่ที่เหมาะสม
รูปแบบของเรซูเม่ คือวิธีการนำเสนอข้อมูลในเรซูเม่ของคุณ จะมีอยู่ด้วยกัน 3 แบบ
เรียงตามเวลา (Chronological)
เรซูเม่ที่เรียงตามเวลา จะนำเอาข้อมูลล่าสุดใส่เอาไว้ข้างบน และข้อมูลเก่ากว่าอยู่ด้านล่างลงไปเรื่อย ๆ เป็นรูปแบบของเรซูเม่ที่มีการใช้งานกันมากที่สุด
เรียงตามฟังก์ชัน (Functional)
เรซูเม่ที่แตกต่างจากเรซูเม่ทั่วไป แทนที่จะเน้นประวัติการทำงานจากล่าสุดลงไปจนถึงประวัติเก่าๆ แต่เรซูเม่แบบฟังก์ชันนี้จะเน้นแสดงความสามารถ หรือสกิลต่าง ๆ ที่คุณสามารถทำได้อยู่ด้านบน ส่วนมากแล้วจะใช้งานกันในเวลาที่คุณมีช่วงเวลาว่างงาน ที่ไม่สามารถใช้เรซูเม่แบบช่วงเวลาได้
แบบผสมผสาน (Hybrid)
เรซูเม่ที่ผสมทั้งสองแบบเข้ากันอย่างลงตัว โดยจะใช้งานในโอกาสที่สกิล ความสามารถ และใบอนุญาตต่างๆ มีความสำคัญพอ ๆ กันกับประสบการณ์ทำงาน ส่วนใหญ่แล้วจะใช้กันในสายงานเฉพาะทาง หรืองานที่จำเป็นต้องใช้ใบอนุญาต เช่น งานไอที, งานทางด้านสุขภาพ, งานวิศวกร, งานสถาปนิก หรือ งานทางด้านกฎหมาย
2. ใส่ชื่อ และข้อมูลติดต่อเบื้องต้น
ใส่ชื่อ นามสกุลของตัวเอง พร้อมทั้งข้อมูลติดต่อ อีเมล์ และหมายเลขโทรศัพท์ให้ชัดเจนและถูกต้อง ส่วนไลน์ไอดี ถ้าเลือกได้ไม่ใส่มันลงไปจะดีกว่า เพราะว่า HR เองก็ไม่อยากใช้ไลน์ส่วนตัวติดต่อกับคุณ โดยเฉพาะในบริษัทใหญ่ ๆ
ส่วนในสายงานบางสายงานที่จะต้องมีการแสดงพอร์ทโฟลิโอ คุณก็สามารถใส่ลิงก์ของพอร์ทโฟลิโอของคุณได้ในส่วนนี้
3. ใส่ Career Objective ให้ตรงกับตัวคุณ
Career objective ก็คือข้อความสรุปสั้นๆ ไม่เกิน 2-3 บรรทัด ที่อธิบายสั้นๆว่าเป้าหมายในการทำงานของคุณคืออะไร ในระยะสั้น และระยะยาว ทำให้ HR สามารถทำความรู้จักกับคุณได้อย่างรวดเร็ว และถ้า Career objective ของคุณตรงกับตัวคุณ และ HR ก็ถูกใจล่ะก็ เรซูเม่ของคุณจะถูกอ่านอย่างละเอียดเลยล่ะ
4. ใส่ประสบการณ์ทำงาน
ประสบการณ์ทำงาน คือส่วนที่สำคัญที่สุด อันดับ 1 ไม่ก็อันดับ 2 ในเรซูเม่เลยล่ะ โดยส่วนนี้คุณจะต้องใส่ชื่อบริษัท ชื่อตำแหน่งงาน ระยะเวลาทำงานที่ชัดเจน ตั้งแต่เดือนอะไรปีไหน จนถึงเดือนอะไรปีไหน คุณยังทำงานนั้นอยู่หรือเปล่า ฯลฯ
ส่วนสำคัญที่สุดของ ประสบการณ์ทำงาน ก็คือ รายละเอียดเนื้องานที่คุณได้ทำ ให้คุณใช้เวลาส่วนใหญ่ของการเขียนเรซูเม่เพื่อใส่ประสบการณ์ทำงานตรงนี้ให้ละเอียด สรุปเป็นหัวข้อๆ และใส่เป็นบุลเล็ต เพื่อให้อ่านง่าย ใช้ประมาณ 3-5 บุลเล็ตต่อ 1ตำแหน่งงานที่คุณเคยทำ
เทคนิคการใส่ประสบการณ์ทำงานให้ดีแบบมืออาชีพ
- ใส่ลงไปว่า คุณทำงานของคุณได้ดีขนาดไหน
- ใช้ตัวเลขประกอบด้วย เช่น
- คุณทำงานในคลังสินค้า และคิดค้นวิธีเก็บสินค้าแบบใหม่ ที่สามารถเก้บสินค้าได้นานขึ้น 20%
- คุณทำงานส่งพิซซ่า คิดวิธีคุยกับลูกค้า ทำให้ลูกค้าพอใจสูงติดต่อกัน 5 เดือน
- คุณเป็นฝ่ายธุรการดีเด่น 3 เดือนซ้อน
- เห็นไหมว่าไม่จำเป็นจะต้องเป็นตำแหน่งสูงอะไรเลย ตำแหน่งงานไหนก็ได้ ขอให้คุณรู้จักตัวเอง ไม่ทำงานไปวันๆก็พอแล้ว
- ใช้คีย์เวิร์ดให้เต็มที่ เพราะว่าถ้าใส่คีย์เวิร์ดลงไปในเรซูเม่ของคุณแล้ว จะค้นหาได้ และจะทำให้ได้เปรียบกว่าคู่แข่งคนอื่นที่ทำเรซูเม่เป็นรูปภาพที่ค้นหาไม่ได้
- ทำให้กระชับที่สุด คุณไม่จำเป็นจะต้องใส่น้ำเยอะเพื่อทำให้มันดูเยอะ กลับกัน HR จะขอเนื้อเน้น ๆ เนื้อล้วน ๆ เน้นคุณภาพไปเลย
- ใช้คำที่มีความหมายในทางบวก
ถ้าคุณเป็นเด็กจบใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์ทำงานมาก่อนล่ะก็ ใส่ประสบการณ์ฝึกงานลงไปแทนนะ
5. ใส่ประวัติการศึกษา
คุณรู้ไหมว่า ข้อมูลประวัติการศึกษามีความสำคัญเป็นลำดับประมาณ 2-3 เท่านั้น และ HR เองก็ต้องการอ่านสั้นๆแค่ว่าคุณจบจากที่ไหนมา คณะอะไรเท่านั้น แต่ผู้สมัครงานส่วนใหญ่กลับใช้เนื้อที่ส่วนมากของเรซูเม่ตัวเองไปกับข้อมูลในส่วนนี้ คำแนะนำของเราคือ ขอให้แบ่งพื้นที่ประมาณไม่เกิน 10-15% หรือไม่เกิน 6-7 บรรทัดของเรซูเม่ของคุณเพื่อเขียนประวัติการศึกษาก็เพียงพอแล้ว เขียนให้กระชับ สรุปเนื้อเน้นๆ ใช้พื้นที่ให้คุ้มค่า
- ชื่อสถานศึกษา
- วุฒิ
- ชื่อคณะ
- ชื่อวิชาเอก
- ระยะเวลาที่เรียน
- GPA (ในกรณีที่เกิน 3.00)
เวลาเขียนประวัติการศึกษา ให้เขียนเรียงจากสถานศึกษาล่าสุดอยู่ด้านบนก่อน จะทำให้อ่านเรซูเม่ได้ง่ายยิ่งขึ้น
6. ใส่สกิลต่างๆ
สกิลต่างๆรวมไปถึง ความสามารถทางด้านภาษา ซึ่งตรงนี้ทุกคนคงจะได้อย่างน้อยภาษาไทยล่ะนะ ต่อมาก็คือภาษาอังกฤษที่เรียนกันมาในหลักสูตรภาคบังคับ (เด็กอนุบาลเดี๋ยวนี้พูดอังกฤษกันคล่องมาก ใครไม่เก่งอังกฤษ อายเด็กอนุบาลตายเลย)
และสกิลสำคัญที่มีความเกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่คุณสมัคร เช่น
- สมัครพนักงานขับรถ ก็ต้องใส่สกิลขับรถ
- สมัครงานคอมพิวเตอร์ ก็ต้องใส่สกิลคอมพิวเตอร์
- สมัครงานนักดนตรี ก็ต้องใส่สกิลดนตรี
- เป็นต้น
แนะนำ: สอนลงทะเบียนว่างงาน อย่างละเอียด
7. ใช้ขนาดกระดาษ และขนาดตัวอักษรที่เหมาะสม
ถ้าคุณสมัครงานในประเทศไทย ก็จะต้องใช้กระดาษขนาด A4 เขียนเรซูเม่ และใช้ขอบกระดาศขนาด 1 นิ้ว ใช้ฟอนต์มาตรฐาน ที่สามารถอ่านได้ในคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง และก็อย่าลืมว่าให้ใช้ตัวอักษรสีดำบนกระดาษสีขาวเท่านั้น
8. ตรวจสอบ และตรวจทานให้ดีก่อนส่ง
ตรวจเช็คเรูซเม่ของคุณให้ดีว่าตัวสะกด แกรมม่าร์ต่างๆถูกต้องไหม เดี๋ยวนี้ไม่ต้องเก่งอังกฤษก็มีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยตรวจทานตัวสะกดและแกรมม่าร์แล้ว ดังนั้นใช้มันให้เป็นประโยชน์นะ นอกจากนี้ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องตรวจทานในการเขียนเรซูเม่ของคุณ ให้ลองอ่านบทความเกี่ยวกับ การตรวจทานเรซูเม่ ของเราเพิ่มเติมได้
9. เขียนเรซูเม่ใหม่ทุกครั้งที่สมัครงานตำแหน่งที่แตกต่างออกไป
การเขียนเรซูเม่ใหม่ทุกครั้งที่คุณสมัครงานในตำแหน่งที่แตกต่างกันออกไปมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะว่าคุณจะต้องเลือกที่จะใส่คีย์เวิร์ดต่าง ๆ ให้ตรงกับตำแหน่งงานที่คุณกำลังสมัครอยู่ มันไม่ดีแน่ ถ้าคุณเขียนเรซูเม่โดยใส่ประสบการณ์ทางด้านช่างเต็มไปหมด แต่ดันไปสมัครงานธุรการแทน ดังนั้นให้เขียนเรซูเม่ใหม่ทุกครั้งที่สมัครงานตำแหน่งที่แตกต่างออกไป
ถ้าหากว่าไม่รู้ว่าบริษัทต้องการอะไรในเรซูเม่ ก็ให้ไปดูที่ job description ก่อนเลย เพราะตรงนั้นจะมีรายละเอียดและ คุณสมบัติ มากที่สุดแล้ว และให้เขียนเรซูเม่ของคุณตาม job description เลยจะได้ผลดีที่สุด