ประวัติการศึกษาเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญในเรซูเม่ ซึ่งบางคนอาจจะบอกว่าเป็นส่วนที่เขียนง่ายที่สุดเลยเสียด้วยซ้ำ แต่คุณจะมั่นใจได้อย่างไรว่าคุณเขียนได้ดี กระชับ ครบถ้วน และใช้พื้นที่คุ้มค่าที่สุดแล้ว
สำหรับบางคน การเขียน ประวัติการศึกษา ของตัวเองนั้นง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก แค่เขียนชื่อมหาวิทยาลัย วุฒิ ชื่อคณะ และปีที่จบ ก็เสร็จแล้ว แต่สำหรับบางคนการเขียนให้ได้ดีมันยากกว่านั้นมากเลย จนถึงบางครั้งก็ไม่รู้จะเขียนมันยังไงเสียด้วยซ้ำ จะเขียนชื่อมหาวิทยาลัย หรือชื่อคณะก่อนดีนะ หรือจะใส่รายชื่อวิชาที่เราเรียนลงไปดีไหม
นอกจากนี้ยังมีเรื่องว่าเราควรจะเขียนสิ่งใดลงในเรซูเม่ก่อนดีนะ ระหว่างประวัติการศึกษา กับ ประสบการณ์ฝึกงาน แล้วถ้าคุณกำลังเรียนอยู่ล่ะ จะเขียนเรซูเม่อย่างไรดี วันนี้พวกเราชาว เรซูเม่อินทีเอช จะมาตีแผ่ถึงเทคนิคการเขียนประวัติการศึกษาลงในเรซูเม่ ว่ามือโปรจริง ๆ เขาเขียนกันอย่างไร
ประวัติการศึกษามีความสำคัญอย่างไร
ประวัติการศึกษาถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่มีความสำคัญที่สุดของเรซูเม่สมัครงาน เป็นสิ่งที่จะบอกกับ HR ว่าคุณสนใจอะไรในการเรียน และเป็นสิ่งที่ช่วยบอกว่าคุณควรจะทำงานในส่วนไหนขององค์กรในภาพกว้าง ปกติแล้วประวัติการศึกษาและตำแหน่งงานที่สมัครจะมีความสัมพันธ์กันไม่มากก็น้อย
แต่ในบางครั้งก็สำคัญมากจนเป็นคุณสมบัติที่ต้องการ เลยล่ะ บางตำแหน่งงานจำเป็นจะต้องจบการศึกษามาในสายเฉพาะทาง เช่นตำแหน่งงานเภสัชกร จะต้องใช้ใบอนุญาต และจำเป็นที่จะต้องจบคณะทางด้านเภสัชศาสตร์มาเท่านั้น
แนะนำ: จุดมุ่งหมายในการทำงาน (Career Objective) ในเรซูเม่ สมัครงาน
ใส่ประวัติการศึกษาลงในเรซูเม่อย่างไรดี
ในความเป็นจริงแล้วการใส่ประวัติการศึกษาลงลงในเรซูเม่ ไม่มีกฎตายตัวว่าคุณจะต้องใส่มันลงไปก่อนหรือหลัง ประวัติการทำงาน แต่ถ้าคุณต้องการที่จะใช้ประโยชน์จากมันให้มากที่สุดแล้วล่ะก็ ให้ลองดูเทคนิคที่เราจะแนะนำตามนี้
ดูคำบอกใบ้จาก Job Description
ให้คุณลองดูใน Job Description ของตำแหน่งงานที่คุณกำลังจะสมัคร ว่าเขามีความต้องการคุณสมบัติอย่างไร ถ้าต้องการผู้สมัครงานที่จบการศึกษามาสายเฉพาะทางโดยเฉพาะ คุณก็อาจจะเลือกใส่ประวัติการศึกษาไว้ด้านบนของประวัติการทำงานได้
ในทางกลับกัน ตำแหน่งงานที่รับสายไหนก็ได้ แปลว่าคุณจะจบอะไรมาก็ได้ สมัครงานตำแหน่งนี้ได้หมด ขอแค่จบได้วุฒิตามต้องการเท่านั้น แปลว่า HR จะไม่ค่อยสนใจว่าคุณจบอะไรมา ดังนั้นคณะของคุณมีความสำคัญน้อยกว่า ประวัติการทำงาน คุณก็อาจจะใส่ประวัติการศึกษาไว้ด้านหลังประสบการณ์ทำงานก็ได้
คุณทำงานมาแล้วกี่ปี
ถ้าหากว่าคุณเป็นนักศึกษาจบใหม่ หรือยังมีประสบการณ์ทำงานมายังไม่เยอะเท่าไหร่ 0-4 ปี คุณก็อาจที่จะได้เปรียบมากกว่าถ้าคุณใส่ประวัติการศึกษาไว้ด้านบนประวัติการทำงาน
แต่ถ้าคุณมีประสบการณ์ทำงานมาแล้ว 5 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีประสบการณ์โชกโชนในระดับที่ 10 ปีขึ้นไปแล้วล่ะก็ พอถึงจังหวะนี้ประวัติการศึกษาของคุณแทบจะไม่มีน้ำหนักแล้วล่ะ ก็ให้ใส่ประวัติการทำงานซึ่งสำคัญกว่าขึ้นก่อนประวัติการศึกษา
แนะนำ: ขั้นตอนการสร้างเรซูเม่ ภาษาไทย ฟรีๆ แบบจับมือทำ
ใส่ข้อมูลอะไรลงในประวัติการศึกษาบ้าง
ข้อมูลพื้นฐานทั้งหมดที่สามารถใส่ลงไปในประวัติการศึกษาได้ มีดังนี้
- ชื่อสถานศึกษา / มหาวิทยาลัย
- สถานที่ตั้งของสถานศึกษา (ถ้าอยู่ในไทยก็ใส่แค่ Thailand ก็พอ)
- วุฒิ
- ชื่อคณะ
- ชื่อวิชาเอก วิชาโท
- ปีที่จบการศึกษา (หรือคาดว่าจะจบ)
- GPA (ถ้าคุณได้ต่ำกว่า 3.00 ก็ไม่ต้องใส่ก็ได้)
- รางวัลที่คุณได้รับ (ที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานเท่านั้น)
- ชื่อวิชาที่เรียน (ที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานเท่านั้น)
แต่ช้าก่อน อย่าเพิ่งใจร้อนใส่ทุกอย่างลงไป ให้ทำความเข้าใจก่อนว่าคุณจะเป็นจะต้องใส่ข้อมูลประวัติการศึกษา ตามประสบการณ์การทำงานของคุณ กล่าวคือถ้าคุณเพิ่งจบใหม่ หรือมีประสบการณ์ทำงานมา 0-4 ปี คุณก็จะต้องใส่ข้อมูลประวัติการศึกษาให้ละเอียดหน่อย (4-5 บรรทัด)
แต่ถ้าคุณมีประสบการณ์ทำงานมามากพอในระดับหนึ่งแล้ว จุดสำคัญมันจะเปลี่ยนจากการศึกษาไปเป็นประวัติการทำงาน ดังนั้นคุณใส่ประวัติการศึกษาแค่พอสังเขป เพียง 2 บรรทัดก็เพียงพอแล้ว
แนะนำ: ฟอนต์ และขนาดฟอนต์ ที่แนะนำให้ใช้เขียนเรซูเม่
HR ต้องการดูอะไรจากประวัติการศึกษาของคุณ
นี่เป็นคำถามกว้างที่ครอบจักรวาลเอามากๆ และมีความแตกต่างกันไปในแต่ละสายอาชีพ และตำแหน่งงานว่างที่เปิดรับสมัคร แต่โดยรวมแล้วถ้าคุณเป็นนักศึกษาจบใหม่ หรือมีประสบการณ์ทำงานมาไม่มากนัก HR ก็จะดูว่าคุณจบอะไรมา และมีความเกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่คุณสมัครมามากน้อยเพียงใด
ส่วนมากแล้วในประกาศรับสมัครงานจะเขียนไว้ค่อยข้างชัดเจนว่า แต่ละตำแหน่งต้องการคุณสมบัติที่จบคณะทางด้านไหนมาเป็นพิเศษ เราก็แค่อ่านและสมัครให้ตรงกับคุณสมบัติเท่านั้นเอง
สิ่งสำคัญที่สุดของเรซูเม่สมัครงานก็คือ คุณจะต้องไม่โกหกเด็ดขาด หากคุณเห็นว่าตำแหน่งงานนี้รับสมัครเฉพาะผู้สมัครที่จบมาบางคณะโดยเฉพาะ ถ้าคุณโกหกลงไปในเรซูเม่ว่าคุณจบคณะนั้น ๆ มา ถือว่าอันตรายมาก เพราะบางบริษัทจะ ตรวจสอบข้อมูลของคุณ กับทางมหาวิทยาลัยก่อนเรียกสัมภาษณ์งานด้วย ถ้าโดนจับโกหกได้ ไม่สนุกแน่นอน
แนะนำ: ข้อมูล 6 อย่าง ที่จะต้องใส่ลงในเรซูเม่สมัครงาน
ใส่ประวัติการศึกษาย้อนหลังไปกี่แห่งดี
โดยรวมๆแล้ว การเขียนประวัติการศึกษาลงในเรซูเม่ จะเขียนประวัติการศึกษาล่าสุดก่อน แล้วค่อยๆเขียนย้อนหลังลงไปเรื่อยๆที่ละระดับ และจะย้อนกลังลงไปที่สุด ไม่เกินระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเท่านั้น
แต่ถ้าคุณเรียนจบ ม.ปลาย หรือต่ำกว่านั้นแล้วล่ะก็ ก็ให้เขียนประวัติการศึกษาแค่ 1 ที่ล่าสุดก็เพียงพอแล้ว
วิธีใส่มหาวิทยาลัยลงในประวัติการศึกษา
วิธีการใส่มหาวิทยาลัยลงในเรซูเม่อย่างถูกต้อง เป็นตามนี้
- เรียงลำดับก่อนตั้งแต่ระดับสูงสุด คือวุฒิ ป.เอก ลงมาจนถึง ป.โท และปิดท้ายด้วย ป.ตรี
- ถ้าหากว่าคุณจบปริญญาตรี ก็ใส่ถึง ป.ตรี
- ใส่ช่วงปีที่เริ่มต้นเรียน และเรียนจบ
- ถ้าหากว่าคุณกำลังศึกษาอยู่ ก็ให้ใส่ปีที่คุณคาดว่าจะจบลงไปในเรซูเม่
- ใส่ชื่อมหาวิทยาลัยเป็นภาษาอังกฤษ
- ให้ใช้ชื่อเต็มเท่านั้น ห้ามใช้ชื่อย่อของมหาวิทยาลัยเด็ดขาด
- ถ้าคุณต้องการใส่ชื่อย่อด้วย ให้ใส่เป็นวงเล็บตามหลัง
- เช่น: Assumption University (ABAC)
- ห้ามสะกดผิดเด็ดขาด
- การแสดงให้เห็นว่าชื่อมหาวิทยาลัยของตัวเองยังเขียนผิด แปลว่าคุณเป็นคนทำงานชุ่ย
- หลายบริษัทจะใช้การค้นหาจากชื่อมหาวิทยาลัย ถ้าคุณใส่ผิดก็จะค้นหาไม่เจอ
วิธีใส่คณะและวิชาเอกลงในประวัติการศึกษา
วิธีการใส่คณะและวิชาเอกลงในเรซูเม่อย่างถูกต้อง เป็นตามนี้
- ใส่ชื่อคณะของคุณเป็นภาษาอังกฤษ ชื่อเต็มเท่านั้น
- ถ้าคุณต้องการใส่ชื่อย่อ ให้ใส่เป็นวงเล็บตามหลัง
- คณะสหเวชศาสตร์ (เทคนิคการแพทย์)
- ถ้าคุณเรียนจบมาภายใน 5 ปี ให้ใส่ชื่อวิชาเอกของคุณลงไปด้วย
- ถ้าคุณมีวิชาโท ก็สามารถใส่ลงไปได้เช่นกัน
- ถ้าคุณเรียนจบมาแล้วเกิน 5 ปี วิชาเอกในมหาวิทยาลัยของคุณไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป ไม่ต้องใส่มันลงไป
ตัวอย่างการใส่ประวัติการศึกษาลงในเรซูเม่
ประสบการณ์ 0-4 ปี
ถ้าหากว่าคุณเพิ่งจบการศึกษา หรือมีประสบการณ์ทำงานมายังไม่มากนัก ให้ใส่ประสบการณ์ศึกษาลงไปก่อนประสบการณ์ทำงาน และใส่รายละเอียดให้มากเข้าไว้ อย่าลืมว่าให้ใส่ชื่อสถานศึกษาแบบเต็มๆ อย่าใช้ชื่อเล่นของมหาวิทยาลัย เพราะ HR บางคนอาจจะไม่รู้จักชื่อเล่นของมหาวิทยาลัยของคุณ แล้วคุณจะเสียโอกาสได้
Bachelor of Arts in Psychology, GPA 3.00
Business Essentials Certificate
Triam Udom Suksa School (Thailand), 2008-2010
Science Major
Bachelor of Business Administration
Major in Accounting, GPA 3.40
Samsen School (Thailand), 2012-2014
Science Major
Bachelor of Communication
Major in Public Relations
Mongford School (Thailand), 2017-2019
Art Major
ประสบการณ์ทำงาน 5 ปีขึ้นไป
ถ้าหากว่าคุณมีชั่วโมงบินที่มากพอแล้ว คุณก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใส่ประวัติการศึกษาให้ละเอียดอีกต่อไป และให้นำส่วนของประวัติการศึกษาไปใส่ไว้ข้างใต้ประวัติการทำงาน และสามารถเขียนย่อ ๆ ให้เพื่อได้ใขความครบถ้วนก็เพียงพอแล้ว และให้นำพื้นที่ที่มีค่าในเรซูเม่ของคุณไปใส่ส่วนประสบการณ์ทำงานแทน ตามตัวอย่างต่อไปนี้
Bachelor of Computer Engineering
Master of Computer Engineering (2000-2002)
Bachelor of Computer Engineering (1996-1999)
สังเกตุว่าถ้าหากจบมาทั้งโท และตรี จากมหาวิทยาลัยเดียวกัน ก็สามารถใส่ชื่อมหาวิทยาลัยเพียงครั้งเดียว และใส่ทั้งสองวุฒิได้ เพื่อให้อ่านง่าย และประหยัดพื้นที่ไปในตัวด้วย
Master’s of Business Administration (MBA)
Master’s of Science in Information Systems (MSIS)
สังเกตุว่า ถ้าหากชื่อหลักสูตรมีชื่อตัวย่อที่เป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง คุณก็ควรจะใส่ทั้งชื่อเต็ม และชื่อย่อ ลงไปทั้งสองชื่อเลย ในกรณีนี้นอกจากผู้อ่านที่เป็นคนแล้ว ยังจะได้เปรียบถ้าผู้อ่านเรซูเม่ของคุณเป็นคอมพิวเตอร์ เพราะจะค้นเจอคำค้นหลักได้ง่ายขึ้นอีกด้วย